ภาวะตลาดเงินบาท: ปิด 36.12 แข็งค่าสอดคล้องภูมิภาค-ขานรับตัวเลขส่งออกไทยดีกว่าคาด
InfoQuest - นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดเย็นนี้อยู่ที่ระดับ 36.12 บาท/ดอลลาร์ แข็งค่าจาก ช่วงเช้าที่เปิดตลาดที่ระดับ 36.30 บาท/ดอลลาร์ ระหว่างวันเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ 36.09-36.30 บาท/ดอลลาร์ โดยเงินบาทแข็งค่าสอดคล้องสกุลเงินในภูมิภาค เนื่องจากดอลลาร์สหรัฐปรับตัวอ่อนค่าลง หลังอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐชะลอตัว ประกอบกับวันนี้ รายงานการส่งออกเดือนก.ย.66 ของไทย ขยายตัว 2.1% ซึ่งดีกว่าที่ตลาดคาดไว้ว่าจะติดลบ โดยปัจจัยที่ต้องติดตามในระยะนี้ คือ สถานการณ์สงครามระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาส รวมทั้งทิศทางบอนด์ยีลด์สหรัฐ ส่วนคืนนี้ ต้องติดตามการรายงานข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในส่วนของดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิต และ ภาคบริการของสหรัฐฯ นักบริหารเงิน คาดว่า พรุ่งนี้เงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 36.05-36.30 บาท/ดอลลาร์
* ปัจจัยสำคัญ
- เงินเยนอยู่ที่ระดับ 149.65 เยน/ดอลลาร์ จากช่วงเช้าที่ระดับ 149.65 เยน/ดอลลาร์ - เงินยูโรอยู่ที่ระดับ 1.0636 ดอลลาร์/ยูโร จากช่วงเช้าที่ระดับ 1.0672 ดอลลาร์/ยูโร - ดัชนี SET ปิดวันนี้ที่ระดับ 1,391.03 จุด ลดลง 8.32 จุด (-0.59%) มูลค่าการซื้อขาย 49,584.20 ล้านบาท - สรุปปริมาณการซื้อขายรายกลุ่ม ต่างชาติขายสุทธิ 1,414.37 ลบ. (SET+MAI) - กระทรวงพาณิชย์ เผย การส่งออกเดือนก.ย.66 ขยายตัว 2.1% ที่มูลค่า 25,476 ล้านดอลลาร์ ขยายตัวต่อเนื่องเป็น เดือนที่ 2 โดยได้รับปัจจัยหนุนจากที่หลายประเทศเร่งนำเข้าสินค้าเกษตร และอุตสาหกรรมเกษตรเพิ่มขึ้น เพื่อป้องกันความไม่มั่นคงทาง อาหารที่อาจจะมีขึ้นในอนาคต ส่วนการนำเข้าเดือนก.ย. หดตัว 8.3% ที่มูลค่า 23,383 ล้านดอลลาร์ ส่งผลให้เดือนก.ย. ไทยเกิน ดุลการค้า 2,092 ล้านดอลลาร์ - ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เผยการส่งออกช่วงไตรมาสสุดท้าย ปี 66 มีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ตามการทยอยฟื้นตัวของ ประเทศคู่ค้า อุปสรรคด้านห่วงโซ่อุปทานคลี่คลายลง โดยคาดว่าภาพรวมทั้งปี 66 การส่งออกไทยแม้จะไม่เติบโตเป็นบวกได้ แต่ก็จะหดตัว ไม่เกิน -1% - ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยจะสามารถฟื้นตัวต่อได้จากการ บริโภคภาคเอกชน และภาคบริการเป็นหลัก ตามจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาไทยยังมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นในไตรมาส 4 โดย เฉพาะนักท่องเที่ยวจากอาเซียน เอเชียตะวันออก และยุโรป - สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ปรับประมาณการผลิตรถยนต์ปีนี้ใหม่เหลือแค่ 1.85 ล้านคัน ลดลงจากเป้า เดิม 1.9 ล้านคัน แต่ยังคงเป้าการผลิตเพื่อส่งออกที่ 1.05 ล้านคัน และปรับลดยอดผลิตเพื่อขายในประเทศ ลดลงเหลือ 8 แสนคัน จาก เดิม 8.5 แสนคัน - ธนาคารกลางอิสราเอล มีมติคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งล่าสุดที่ระดับ 4.75% ขณะที่นายอามีร์ ยารอน ผู้ว่าการ ธนาคารกลางอิสราเอล ระบุว่า แม้เศรษฐกิจอิสราเอลจะได้รับผลกระทบจากสงครามกับกลุ่มฮามาส แต่ก็เชื่อว่าเศรษฐกิจของประเทศ จะ ฟื้นตัวในไม่ช้า - มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ส เซอร์วิส ประกาศทบทวนอันดับความน่าเชื่อถือของอิสราเอล โดยมีแนวโน้มที่จะปรับลดอันดับความน่า เชื่อถือซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ A1 เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับสงครามระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาส - สำนักงานพลังงานสากล (IEA) ระบุว่า อุปสงค์เชื้อเพลิงฟอสซิลโลกจะแตะจุดสูงสุดภายในปี 2573 เนื่องจากมีการใช้รถ ยนต์ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น เศรษฐกิจจีนเติบโตชะลอตัวลง และมีการเปลี่ยนไปใช้พลังงานสะอาด ซึ่งทำให้ไม่มีเหตุผลที่จะเพิ่มการลงทุนในเชื้อ เพลิงฟอสซิลเพิ่มมากขึ้น - ข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ที่จะรายงานในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตและ ภาคบริการขั้นต้นเดือนต.ค., ยอดขายบ้านใหม่เดือนก.ย., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายใน ประเทศ (GDP) ไตรมาส 3/2566 (ประมาณการเบื้องต้น), ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนก.ย. และยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (Pending Home Sales) เดือนก.ย., ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือนก.ย. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้ บริโภคเดือนต.ค.
กดอ่านข่าวต้นฉบับจาก InfoQuest